ซีดีรอมคืออะไร : What is
CD-ROM
ซีดีรอม (CD
ROM ย่อมาจาก Compact disc Read Only Memory) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลชนิดหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage
Media)
ลักษณะเป็นแผ่นจานกลมคล้ายแผ่นเสียงหรือแผ่นคอมแพ็คดิสก์สำหรับฟังเพลง ข้อดีคือ
เก็บข้อมูลได้ปริมาณมากกว่าดิสก์เก็ต ซีดีรอม 1 แผ่นสามารถเก็บข้อมูล
เทียบเท่ากับดิสก์เก็ตความจุ 1.44 MB จำนวน 600 แผ่น
หรือเท่ากับฮาร์ดดิสก์ขนาดความจุ 600 MB
ในขณะที่ราคาของซีดีรอมถูกกว่าฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุเท่ากัน
จากข้อดีดังกล่าวจึงมีผู้ผลิตซอฟต์แวร์ประเภทเกมส์และโปรแกรมบรรจุในซีดีรอมมากขึ้น
ประเภทของซีดีรอม
เมื่อดูจากสภาพภายนอกจะเห็นว่าซีดีรอมแต่ละแผ่นมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ
แต่แท้ที่จริงนั้นซีดีรอมแบ่งออกได้หลายประเภท การแยกประเภทของ
ซีดีรอมนั้น
แยกตามข้อกำหนดของหนังสือที่ระบุเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตสื่อเก็บข้อมูลซีดีรอม เช่น
Yellow CD หมายถึง ซีดีรอมที่ถูกผลิตตามข้อหนังสือหน้าปก
สีเหลือง เป็นต้น
ปัจจุบันแบ่งประเภทของซีดีรอมออกได้หลายประเภท
ตามสีของหน้าปกหนังสือที่กำหนดลักษณะของซีดีรอม ดังต่อไปนี้
- Yellow CD หรือ
DATA Storage CD
- Red CD / Audio CD
- CD-ROM XA หรือ Multi-session
CD หรือ ISO 9660
- Mixed Mode CD
Yellow CD
หรือเรียกว่า DATA Storage CD
เป็นที่รู้จักกันในชื่อของซีดีรอมประเภทที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data CD)
มักพิมพ์คำว่า Data Storage บนแผ่น แผ่นซีดีรอมประเภทนี้ถูกนำมาเก็บข้อมูล
ที่คอมพิวเตอร์อ่านได้ ข้อมูลจะถูกบันทึกเป็นแนวเกลียว (Spiral) จากวงรอบ (Track)
ส่วนในของแผ่นไปยังวงรอบส่วนนอก ข้อมูลจะถูกเขียนครั้งละหนึ่งบิตตามลำดับ
โครงสร้างของการบันทึกข้อมูลทางตรรกะ (Logical Format)
ข้อมูลจะถูกบันทึกในลักษณะของแผนภูมิต้นไม้ (Tree) และไดเรคทอรี่ (Directory)
และไฟล์
ซึ่งคอมพิวเตอร์เข้าใจ
การใช้งาน DATA-CD
- ใช้เก็บข้อมูล
- สำหรับสำรองข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์
หรือจากสื่อบันทึกข้อมูลชนิดอื่นๆ
-
สำหรับทดสอบบันทึกข้อมูลก่อนที่จะส่งแผ่นซีดีไปเป็นมาสเตอร์
-
สำหรับการบันทึกข้อมูลเพื่อใช้งานภายในสำนักงาน
Red
CD / AudiO CD
รู้จักกันแพร่หลายในชื่อของ Audio CD
หรือคอมแพ็คดิสก์ คือแผ่นซีดีรอมที่มีไว้สำหรับฟังเพลง ซึ่งประกอบด้วย Track ของ
Digital Audio ที่ถูกบันทึกลงไปใน
Compact Disc - Digital Audio (CD-DA)
รูปแบบการเก็บข้อมูลเพลงเป็นรูปแบบสากล คือนำไปใช้ได้ทั่วโลกและใช้ได้กับหลายๆ สื่อ
CD-DA แผ่นหนึ่งมี
Track ได้ 99 Track
CD-ROM
XA หรือ Multi-session CD
Multi-session CD
คือซีดีรอมที่ถูกผลิตตามมาตรฐาน ISO 9660 ข้อมูลในซีดีรอมจะมีมากกว่า 1 session
หนึ่ง session คือการบันทึกข้อมูลต่อเนื่องกัน
หนึ่งส่วน เมื่อปิด Session
ดังกล่าว และเปิด Session ใหม่ ข้อมูลก็จะถูกบันทึกโดยไม่ต่อเนื่องกับ session เดิม
ทำให้ใช้ประโยชน์จากซีดีรอมแบบ Multi-
session ในการ Update
ข้อมูลหรือบันทึกข้อมูลเพิ่มเติม
ประโยชน์จากการใช้ซีดีรอมแบบ Multi - Session
-
การสำรองข้อมูลที่มีขนาดใหญ่
-
สำหรับใช้ในการทำข้อมูลที่ต้องการแจกจ่ายเมื่อมีการอัปเดทข้อมูล
Mixed Mode
Classic Mixed Mode หรือ Mixed Mode
ยุคเบื้องต้นนั้นคือแผ่นซีดีรอมที่มีข้อมูลใน Track แรก ตามด้วย Audio ใน Track
ต่อไปอีกหนึ่ง Track หรือหลายๆ Track โดยบรรจุใน session เดียว Mixed-Mode
CD ใช้งานได้ดีกับคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาบางประการเกี่ยวกับ Classic Mixed Mode
เนื่องจากหากบังเอิญว่าข้อมูลใน Track แรกนั้นนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้
แต่กรณีนี้
บรรดาเครื่องเล่นซีดีของชุดเครื่องเสียงจะไม่สามารถใช้งานได้
ตรงกันข้ามอาจเกิดความเสียหายได้ เพราะใน Track ของข้อมูลซึ่งเป็น Track
แรกนั้นคำนวณไม่ได้ว่า
ปริมาณสัญญาณที่ถูกส่งออกมานั้น
อาจจะมากขนาดที่ทำให้ลำโพงเสียหายได้
ถึงแม้ว่าเครื่องเล่นซีดีบางตัวจะสามารถตรวจจับ CD-track และอ่านข้ามไป
แต่โดยปกติ
เครื่องเล่นซีดีจะไม่มีฟังก์ชั่นนี้
บรรดาผู้ผลิตเครื่องเล่นซีดีที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการใช้งานซีดีรอมประเภทนี้ต่างก็กลัวปัญหา
และเริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ นั้นก็คือ
CD Extra
CD Extra
CD Extra หรือที่รู้จักกันในชื่อของ CD Plus หรือ Enhance
CD เป็นวิธีการแก้ปัญหาเมื่อผู้ผลิตซีดีรอมต่างก็มองเห็นว่าผู้ผลิตไดรฟ์ซีดีรอม
ปัจจุบันผลิตแต่ไดรฟ์ ที่สามารถอ่านข้อมูลแบบ Multi-Session หมดแล้ว
CD Extra จะประกอบด้วย
2 session session แรกเป็น CD-DA ที่สามารถมีได้ถึง 98 Track ประกอบด้วย Audio
Track และ session ที่สองเป็น
Data Track ซึ่งถูกเขียนในรูปแบบของ CD-ROM XA
เมื่อเอาแผ่นซีดีที่เป็น CD Extra มาใช้กับเครื่องเล่นซีดี session
แรกที่เป็นส่วนของ Audio จะถูกนำมา
เล่นแต่เครื่องเล่นซีดีจะไม่อ่านข้อมูลที่อยู่นอกเหนือจาก Session แรก
ดังนั้นส่วนของ Data Track จึงไม่ถูกเล่นในเครื่องเล่นซีดี
เมื่อนำเอาซีดีรอมดังกล่าวมาใช้กับ
เครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งโดยปกติเครื่องคอมพิวเตอร์จะอ่าน session สุดท้ายก่อน ดังนั้นตัวของ Data
จึงถูกอ่านในครั้งแรก
คุณลักษณะของ CD Extra ถูกระบุไว้ใน Blue book
Standard อย่างไรก็ตามในข้อระบุของ Blue Book Standard
ไม่ได้กำหนดว่าซีดีรอมที่จะถูกผลิต
ภายใต้มาตรฐานจำเป็นต้องเป็นซีดีรอมแบบ
Multi - Session
คุณสมบัติของแผ่นซีดีรอม
CD-ROM
เป็นสื่อที่มีคุณสมบัติที่หลากหลายต่างจากสื่อประเภทอื่นหลายประการด้วยกัน เช่น
- ความจุข้อมูลมหาศาล
ซีดีรอมหนึ่งแผ่นสามารถบรรจุข้อมูลได้ถึง 680 เมกกะไบท์ เทียบได้กับ หนังสือ
250,000 หน้า หรือข้อความในกระดาษพิมพ์ดีดจำนวน
300,000 แผ่น
หรือหนังสือสารานุกรม 1 ชุดจำนวน 24 เล่ม หรือภาพสี 5,000 ภาพ
หรือเท่ากับข้อมูลในแผ่น floppy disk ขนาด 104 เมกกะไบท์ 460 แผ่น หรือ
ใน
hard disk ขนาด 20 เมกกะไบท์ ถึง 34 ชุด
ถ้าบุคคลคนหนึ่งอ่านหนังสือหนึ่งหน้าต่อหนึ่งนาทีโดยไม่หยุดพักในเวลา 12
ชั่วโมงต่อวัน ประมาณว่าจะต้องใช้เวลา
เกือบ 11 เดือนจึงจะอ่านข้อมูลในแผ่น
CD-ROM แผ่นหนึ่งได้หมด - บันทึกข้อมูลนานาประเภท
อยู่ในลักษณะของดิจิทัล ( digital encoding ) สามารถบันทึกข้อมูลในลักษณะตัวอักษร
ภาพถ่ายสีและขาวดำ ภาพเคลื่อนไหว ภาพกราฟิค
เสียงพูด และเสียงดนตรี
ได้อย่างมีคุณภาพสูง - การสืบค้นฉับไว CD-ROM
บรรจุข้อมูลได้มากมายมหาศษลแต่สามารถค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำภายในเวลาเพียง1
วินาทีเท่านั้น - มาตรฐานสากล แผ่น CD-ROM
มีรูปแบบมาตราฐานจึงสามารถใช้กับหน่วยขับ CD-ROM หรือเครื่องเล่น CD-ROM
ทั่วไปได้เหมือนกัน - ราคาไม่แพง
ทั้งแผ่นและเครื่องเล่นซีดีรอมมีราคาถูกลงอย่างมากและมีอย่างแพร่หลาย
-
อายุการใช้งานนาน CD-ROM มีอายุการใช้งานนาน
แต่แผ่นก็สามารถเสื่อมสภาพได้จากความชื้นและความร้อนต่างๆ - ความคงทนของข้อมูล CD-ROM
เป็นสื่อที่ไม่กระทบกระเทือนต่อสนามแม่เหล็กจึงทำให้ข้อมูลอยู่คงที่ตลอดไป
และที่สำคัญ ไม่ติดไวรัสเนื่องจากไม่สามารถเขียน
ทับได้
- ประหยัด
เมื่อเปรียบเทียบขนาดเนื้อที่การบันทึกข้อมูลระหว่างแผ่น CD-ROM กับแผ่น floppy
disk แล้ว จะเห็นได้ว่า CD-ROM แผ่นหนึ่ง สมารถบรรจุข้อมูลได้
มากกว่าแผ่น
floppy disk หลายร้อยเท่า จึงทำให้ประหยัดเงินในการใช้ CD-ROM
เพียงแผ่นเดียวแต่บันมึกข้อมูลได้มากกว่า
- ความสะดวก เนื่องจาก CD-ROM
เป็นแผ่นที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บ
สามารถพกพาไปใช้ในที่ต่างๆได้โดยสะดวก และส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ง่าย
โดยทางไปรษณีย์
กระบวนการผลิตซีดีรอม
การผลิตซีดีรอมไม่เหมือนกับการผลิตแผ่นเสียง ขั้นตอนแรก
คือการสร้างแผ่นมาสเตอร์ข้อมูล ที่จะถูกบันทึกลงบนแผ่นมาสเตอร์นี้
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นภาพ
เสียง หรือข้อมูลทั่วไป ซึ่งจะ
มีรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลต่างกัน
โดยใช้กำลังแสงเลเซอร์ที่มีควมเข้มข้นสูงมากกว่าเครื่องเล่น ซีดีทั่วไปหลายเท่าตัว
ดังนั้นจึงต้องใช้เทคนิค
การถอดรหัสข้อมูลแบบพิเศษที่เรียกว่า miroscopic
pits เมื่อได้แผ่นซีดีมาสเตอร์แล้วจึงนำมาใช้ทำเป็นปั๊มโลหะต้นแบบเพื่อทำสำเนาต่อไป
การผลิตแผ่นซีดีรอมทั่วไป
จะใช้แผ่น ซีดีเปล่ามาทำการปั๊มด้วย master stamps
หลังจากนั้นจึงนำไปเคลือบด้วยสาร Poly carbonate บางๆซึ่งจะทำให้แผ่นซีดี
ดูสะท้อนแสงเป็นเงาแวววาว
และเป็นส่วนที่สะท้อนแสงที่ยิงมาจากตัวกำเนอแสงเลเซอร์ในไดรฟ์ซีดีรอม จากนั้นก็นำมา
เคลือบด้วยแล็กเกอร์บางๆอีกหนึ่งขั้นสุดท้ายก็พิมพ์สลากรายละเอียด ของ
แผ่นดิสก์ ติดด้านบนของแผ่นเป็นขั้นตอนสุดท้าย
พื้นผิวที่เป็นส่วนเก็บข้อมูลอยู่บริเวณด้านบนของแผ่นซีดีรอมนั่นเอง
นั่นคืออยู่ชั้นถัดลงไปจากสลากที่ติดทับเอาไว้ และ
ไดร์ฟซีดีรอมอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีด้านล่างของแผ่น โดยโฟกัสแสงเลเซอร์ผ่านความหนา
1.2 มิลลิเมตร ของสารโพลีคาร์บอเนต นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมด้านล่างของ
แผ่นซีดีรอมที่รอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยไม่ส่งผล เสียหายต่อข้อมูลในแผ่น
เพราะรอยขีดข่วนด้านบนของแผ่นเพียงเล็กน้อยไม่สามารถเข้าลึกไปถึงส่วนที่เก็บข้อมูลเอาไว้
ในอีกมุมหนึ่ง
รอยขีดข่วนด้านบนของแผ่นเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายสารโพลีคาร์บอเนตที่เคลือบไว้อย่างบางๆได้
ซึ่งจะมีผลทำให้แผ่นซีดีรอมเสียหายทันที แม้
แผ่นซีดีรอมทนทานกว่าแผ่นฟลอบปี้ดิสก์ แต่จะโค้งงอได้อย่างง่ายดาย
หากถูกทิ้งไว้กลางแดด ดังนั้นจึงต้องเก็บรักษาแผ่นอย่างถูกวิธี โดยการใส่ไว้ใน
caddy
หรือกล่องใส่แผ่นซีดีโดยเฉพาะ
เทคนิคของการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดีรอม
แผ่นซีดีรอม
เป็นสื่อเก็บข้อมูลแบบดิจิทัล ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในรูปของบิต 0 และ 1
ในฮาร์ดดิสก์นั้นตัวแผ่นจากจานแม่เหล็กจะบันทึกข้อมูลโดยอาศัยการ
เหนี่ยวนำเซลล์อนุภาค แม่เหล็กขนาดเล็กหลายๆเซลล์เข้าด้วยกัน
แต่แผ่นซีดีรอมนั้นใช้เทคนิคการบันทึกข้อมูลที่ต่าง กันไป
โดยเริ่มแรกแผ่นดิสก์จะมีสภาพราบเรียบ
ซึ่งจะเรียกว่า
สวนLandsจากนั้นจึงถูกเผาด้วย ลำแสงเลเซอร์ตามกระบวนการผลิตที่ได้กล่าวมาข้างต้น
จนกลายเป็นหลุมลึกลงไป เป็นส่วนที่ เราเรียกว่า pits
ดังนั้นเมื่อแผ่นดิสก์หมุนอยู่ในตัวไดร์ฟแสงเลเซอร์จะพาดผ่านจากส่วน Lands
จะสะท้อนกลับออกมาแต่ถ้าผ่านส่วน Pits จะกระจายหายไป ส่วน photodetertor
ในหัวอ่านเลนส์
จะทราบถึงความแตกต่างสองประการนี้และนั่นคือคำตอบว่ามันทราบได้อย่างไรว่าบิตข้อมูลนั้นเป็น
1 หรือ 0
อ้างอิง
http://www.pkru.ac.th/techno/information3.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น